วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ขนมหม้อแกง

 สูตรขนมหวานไทย : หม้อแกง
    

 

ขนมหวานไทย : ขนมหม้อแกงลูกบัว

* ถั่วเขียว 250 กรัม (เผือก, เม็ดบัว, อื่นๆ)
* น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
* น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
* ไข่เป็ด 3 ฟอง
* หอมแดงซอยละเอียด 3 ลูก
* ใบเตย 3 ใบ
ขนมหวานไทย : ไข่เป็ด
ขนมหวานไทย : ขนมหม้อแกงลูกบัว
 

      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน

1. นำหอมแดงไปเจียวในน้ำมันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ )
2. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้ำและนำไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนำไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนำเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ
3. ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้ำตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยำโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้ำตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยำต่ออีกจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก
4. เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
5. นำส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อนำไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานำมากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแยกชั้นเมื่อนำไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี
6. นำส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนำหอมเจียวไปโรยหน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที
7. ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้ เวลาเสริฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสม ถ้าอบโดยใส่แบบอื่นๆไว้ ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสริฟได้พร้อมแบบทันที  

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติของวัดพระแก้ว




วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

 
          พระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหารัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต ภายในวัดพระแก้วนี้มีสิ่งสำคัญและสวยงามอยู่มากมาย เช่น
พระอุโบสถหรือโบสถ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย มีระเบียงเดินได้รอบพระอุโบสถ

          ผนังอุโบสถสวยงามมากเป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ปูนปั้นปิดทองประดับกระจก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นทรงมณฑปปิดทองประดับกระจก บานประตูหน้าต่างทั้งหมดประดับมุกโดยฝีมือช่างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ภายในพระอุโบสถนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เคารพนับถือของชาวไทย คือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือที่คนไทยรียกกันจนติดปากว่า พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งแกะสลักมาจากหยกสีเขียวเข้มที่มีค่าและหายากมาก ถ้าใครเคยไปแถวสนามหลวง จะมองเห็นกำแพงยาวสีขาวล้อมรอบวัดอยู่วัดหนึ่ง ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่โตและสวยงามมากทีเดียว ทราบไหมว่าเป็นสัตว์อะไร ก็วัดพระแก้วหรือวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั่นไง เรามาดูกันดีกว่าวัดนี้มีความสำคัญและมีประวัติความเป็นมากันอย่างไร
          วัดพระแก้ว เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตพระบรมมหาราชวัง จึงทำให้มีลักษณะที่แปลกกว่าวัดอื่นๆ คือ ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ในวัดนี้เลยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พร้อมกับหลายคนคงเคยไปนมัสการพระแก้สมรกตกันมาแล้ว เคยสังเกตไหมว่าพระแก้วมรกตจะมีเครื่องทรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ทราบหรือไม่ว่ามีเครื่องทรงฤดูอะไรบ้าง และจะเปลี่ยนเครื่องทรงเมื่อไร
เครื่องทรงของวัดพระแก้วมรกตมีเครื่องทรงฤดูร้อน เครื่องทรงฤดูฝน เครื่องทรงฤดูหนาว ซึ่งเครื่องทรงเหล่านี้ทำด้วยทองคำประดับเพชรและสิ่งมีค่าชนิดต่าง ๆ ถือเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญประการหนึ่งของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑

          จนถึงรัชกาลปัจจุบันที่จะต้องเสด็จ ฯ ไปทรงเปลี่ยนเครื่องทรงประจำฤดูด้วยตนเองซึ่งกำหนดวันเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตมีดังนี้
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูร้อน
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูฝน
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ เปลี่ยนเครื่องทรงฤดูหนาวเป็นเครื่องทรงฤดูหนาว

          นอกจากพระอุโบสถซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตแล้ว ภายในวัดพระแก้วก็ยังมีพระระเบียงที่งดงามมาก ผนังด้านในของพระระเบียงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นจนจบ และมีคำโคลงจารึกบนแผ่นศิลาเพื่ออธิบายแต่ละภาพติดไว้ที่เสาระเบียงอีกด้วย
สิ่งสำคัญและสวยงามในวัดพระแก้วอีกอย่างหนึ่งคือ ปราสาทพระเทพบิดร เป็นปราสาทจัตุรมุขยอดปรางค์ ตั้งอยู่ระหว่างพระอุโบสถกับหอพระมนเทียรธรรม สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๔

          ภายในประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักกรีตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๘ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จ ฯ ไปทรงถวายราชสักการะพระบรมรูปพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในวันที่ ๖ เมษายนของทุกปี อันเป็นวันที่ระลึกถึงพระมหาจักรีวงศ์ หรือที่เราเรียกว่า “ วันจักรี ”
ในบริเวณวัดพระแก้วนี้ยังมีสถานที่สำคัญและงดงามอีกมากมาย เช่น พระมณฑป ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังปราสาทพระเทพบิดร เป็นพระมณฑปที่มีรูปทรงงามมาก มีซุ้มประตูทางเข้า ๔ ด้าน หลังคามุงด้วยแผ่นทองแดงประดับกระจก ภายในพระมณฑปประดิษฐานตู้พระไตรปิฎก เป็นตู้ยอกมณฑปประดับมุกที่ใช้เก็บรักษาพระไตรปิฎกฉบับทอง

          สถานที่งดงามซึ่งทุกคนจะได้พบเห็นนอกจากนี้ก็ยังมี พระศรีรัตนเจดีย์ วิหารยอดหอมณเทียรธรรม นครวัดจำลอง หอระฆัง ศาลาราย ฯ ถ้าอยากเห็นสถานที่สำคัญและสิ่งสวยงามต่าง ๆ เหล่านี้ก็ต้องไปชมกันที่วัดพระแก้ว

คามเป็นมาของจังหวัดสุโขทัย

                                                          ประวัติจังหวัดสุโขทัย
 
               จังหวัดสุโขทัย เป็นที่ตั้งอาณาจักรแรกของชนชาติไทยเมื่อ ๗๐๐ ปีที่แล้ว คำว่า "สุโขทัย" มาจากสองคำ คือ "สุข+อุทัย" หมายความว่า "รุ่งอรุณแห่งความสุข" รอยอดีตแห่งความรุ่งเรือง เห็นได้จากอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและศรีสัชนาลัย ซึ่งเป็นที่รู้จักของชาวไทยและต่างประเทศ
 
               ประวัติสุโขทัยเริ่ม พ.ศ. ๑๘๐๐ เมื่อพระยาศรีนาวนัมถมพระบิดาพ่อขุนผาเมืองได้ปกครองเมืองสุโขทัยเรื่อยมาจนสิ้นพระชนม์ ขอมสมาดโขลญลำพงข้าหลวงจากราชอาณาจักรขอมได้เข้ายึดครองเมือง ขุนบางกลางหาวและพ่อขุนผาเมืองจ้าวเมืองราดได้ยึดเมืองคืน และสร้างเมืองสุโขทัยขึ้นเป็นราชธานี มีขุนบางกลางหาวพระนามใหม่ว่าพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์ปกครองเมืองสุโขทัย อาณาจักรแห่งแรกของประเทศไทย 
 
               ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้แผ่อาณาจักรออกไปกว้างขวางคลุมเขตประเทศไทยเกือบหมด บ้านเมืองเจริญทุกด้าน ไม่ว่าด้านประวัติศาตร์ ยุทธศาสตร์ กฏหมาย การปกครอง เศรษฐกิจ ศาสนา และวัฒนธรรมประเพณี เฉพาะอย่างยิ่งทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖  อักษรไทยที่ทรงประดิษฐ์นี้ได้จารึกไว้ในแผ่นศิลามากมาย ศิลาจารึกเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญให้รู้เรื่องเมืองสุโขทัยมากขึ้น
 
               ในศิลาจารึกบอกถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชว่ามีอาณาเขตกว้างมาก ทิศเหนือจรดเมืองแพร่ น่านและหลวงพระบาง ทิศใต้จรดนครศรีธรรมราช ทิศตะวันออกจรดเมืองเวียงจันทร์ และทิศตะวันตกจรดเมืองหงสวดี การปกครองบ้านเมืองเป็นระบบ "พ่อปกครองลูก" ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีมีสิทธิเสรีภาพดั่งคำจารึกว่า "ไพร่ฟ้าหน้าใสในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า"
 
               สมัยนั้นชาวสุโขทัย ทำเกษตรกรรมเป็นหลัก อาศัยน้ำที่มีอยู่บริบูรณ์ทำนา ทำสวน ทำไร่ มีการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งเรียกว่า "ทำนบพระร่วง" ซึ่งนักโบราณคดีได้ศึกษาพบถึง ๗  แห่ง สุโขทัยเป็นศูนย์กลางค้าและการผลิตเครื่องถ้วยชามที่เรียกว่า "สังคโลก" ส่งขายยังต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนิเซีย และบอร์เนียว นอกจากนั้นยังเป็นศูนย์การค้าสินค้าจากจีน เช่น ถ้วยชามและผ้าไหม เพื่อขายในประเทศและส่งต่อต่างประเทศด้วย   หลักฐานที่สะท้อนให้เห็นความเจริญมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของสุโขทัย ได้แก่ สมบัติทางวัฒนธรรมที่ได้รับการบูรณะขึ้นเป็นอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและมรดกโลกในปัจจุบัน
 
               ใน พ.ศ. ๑๘๙๐  กรุงศรีอยุธยา มีอำนาจมากขึ้นและเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจแทนสุโขทัย แต่สุโขทัยก็ยังมีพระมหากษัตริย์ปกครองกันติดต่อมาอีก ๒ พระองค์ จึงสิ้นพระราชวงศ์สุโขทัยและได้รวมเข้ากับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแก่เมืองพม่าครั้งที่ ๒ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โปรดให้ตั้งเมืองสุโขทัยขึ้นที่บ้านธานี(ท่าหนี) ริมแม่น้ำยมซึ่งก็คือจังหวัดสุโขทัยในปัจจุบัน
 
               เมื่อวันที่ ๑  เมษายน ๒๔๗๕  ได้ยุบอำเภอธานี ตั้งใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอสุโขทัยธานีขึ้นกับจังหวัดสวรรคโลก   จนถึง   พ.ศ. ๒๔๘๒  ได้ยกอำเภอสุโขทัยธานีขึ้นเป็น จังหวัดสุโขทัยตั้งแต่นั้นมา              
 
               สุโขทัยในปัจจุบัน ตัวเมืองในปัจจุบันนี้มิใช่กรุงสุโขทัยอันเป็นราชธานีเดิมแต่เป็นเมืองสุโขทัย ล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรีทรงย้ายผู้คนทั้งหมดจากสุโขทัย ตั้งเมืองใหม่ทางฝั่งตะวันออกของลำน้ำยมเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๖ โดยห่างจากตัวเมืองสุโขทัยที่เคยเป็นราชธานี ๑๒ กิโลเมตร พระราชดำริในครั้งนั้นมีอยู่ว่า เมืองสุโขทัยเป็นเมืองใหม่ไม่มีผู้คนพอจะต่อสู้รักษาให้พ้นจากการรุกรานจากพม่าข้าศึกได้ เมืองสุโขทัยเคยถูกยุบเป็นอำเภอมีชื่อว่า "อำเภอธานี" ขึ้นอยู่กับอำเภอสวรรคโลก  เมื่อปี   พ.ศ. ๒๔๗๕ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๘๒ ทางการจึงได้ยกฐานะเป็นจังหวัดดังปรากฏอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ 
 
               สุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของราชอาณาจักรไทย สิ่งสำคัญที่จะต้องระลึก ก็คือมหาราชพระองค์แรกของไทย ได้ถือกำเนิดขึ้น ณ สุโขทัยแห่งนี้พระองค์ทรงปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขกับได้ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างใหญ่ไพศาล และเจริญรุ่งเรืองอย่างสูงสุดในช่วงเวลานั้น จากร่องรอยและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ชีให้เห็นว่า ศิลปวัฒนธรรมของความเป็นไทยได้เริ่มต้น ณ แห่งนี้ วิทยาการความรู้ความสามารถ และเทคโนโลยีแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีภาษาและหนังสือของตนเองได้บ่งบอกถึงอารยธรรมอันสูงส่งของคนไทยได้เริ่มขึ้นและวิวัฒนาการเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานไทยได้สืบทอดต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
 
               สุโขทัยจึงเป็นดินแดนแห่งความทรงจำ เป็นดินแดนแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติที่จะลืมเลือนเสียมิได้เป็นอันขาด    สุโขทัยเป็นดินแดนแห่งความทรงจำถึงอดีตกาลแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยในความสำคัญที่
               *  เป็นราชธานีแห่งแรกของไทยและมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด 
               *  เป็นดินแดนของมหาราชองค์แรกของไทย
               *  กษัตริย์พระองค์แรกทรงผนวชในบวรพุทธศาสนา 
               *  เป็นจุดกำเนิดลายสือไทย และวรรณคดีเล่มแรกของไทย "ไตรภูมิพระร่วง" 
               *  เป็นแหล่งกำเนิดอุตสาหกรรมชิ้นแรก "ชามสังคโลก" 

ประวัติศาสตร์ไทย

ประวัติศาสตร์ไทย


ถิ่นเดิมของไทยอยู่ในดินเเดนซึ่งปัจจุบันนี้เป็นอาณาเขตของประเทศจีน บริเวณลุ่มเเม่น้ำฮวงโห หรือ เเม่น้ำเหลือง เเละ บริเวณเเม่น้ำยังซีเกียง หรือเเม่น้ำเเยงซีเกียง เมืองสำคัญของชาวไทยในครั้งนั้น คือ ลุง อยู่ทาง เหนือ เเถมต้นเเม่น้ำฮวงโห ใกล้เเนวกำเเพงเมืองจีน เเละ ปา อยู่ทางใต้ เเถบมณฑลเสฉวนปัจจุบัน  ประมาณ 5 000 ปีที่เเล้ว ชาวจีนซึ่งร่อนเร่อยู่เเถบทะเลเเคสเปียน ได้ย้ายมา ทางทิศตะวันตก เเละเข้ารุกรานบ้านเมืองของชาวไทยซึ่งตั้งหลักเเหล่ง อยู่ก่อน ชาวไทยจึงพากันอพยพถอยร่อนลงมาทางใต้ เข้าเขต มณฑล ยูนนาน (ฮูนหนำ)   ไกวเจา กวางสี กวางตุ้ง ต่างเเยกย้ายกันตั้งบ้านเมือง อยู่เป็นอิสระหลายเมือง ชาวไทยเหล่านี้เรียกตัวเองว่า อ้ายลาว 
การที่ไทยถูกจีนรุกราน ต้องอพยพหลบหนีภัยจากถิ่นเดิมลงมาทางใต้นั้น มิใช่อพยพลงมาคราวเดียวทั้งหมด เเต่อพยพลงมาทีละพวกทีละหมู่ พวกใดทนอยู่กับการเบียดเบียนได้ก็อยู่ต่อที่เดิม พวกที่รักอิสระก็พากัน อพยพ ลงมาทางใต้ พบเเหล่งใดมีความอุดมสมบูรณ์ก็ตั้งถื่นฐาน สร้างบ้านเมืองขึ้นใหม่ 
เส้นทางอพยพของชาวไทยจนเข้ามาอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนปัจจุบัน ชาวไทยอาศัยเเม่น้ำ ๒ สายเป็นสำคัญ คือ เเม่น้ำสาละวิน เเละเเม่น้ำโขง
เส้นทางที่ ๑   พวกที่อพยพไปทางตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำ สาละวิน เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ในประเทศพม่าเดี๋ยวนี้เรียกว่า ไทยใหญ่ หรือ ไทยเงี้ยว หรือ ฉาน พวกที่อพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เเละตั้ง ภูมิลำเนาอยู่ในเเคว้นอัสสัมเดี๋ยวนี้ เรียกว่าไทยอาหม
เส้นทางที่ ๒   พวกที่อพยพไปทางทิศใต้ บริเวณลุ่มเเม่น้ำโขง ผ่านเข้าไป ในดินเเดนสิบสองปันนา สิบสองจุไทย เเละตังเกี๋ย เเละตั้งภูมิลำเนาอยู่ใน ดินเเดนตอนเหนือของประเทศเวียดนามเเละประเทศลาว ปัจจุบันนี้ เรียกว่า ไทยน้อย ต่อมาไทยพวกนี้ได้ยกเข้ามาอยู่ในดินเเดนลานนาไทย ทางตอน เหนือของประเทศไทย ในที่สุดได้ชายเเดนลงมาทางใต้ในบริเวณลุ่มเเม่น้ำ เจ้าพระยาตลอดลงไปในเเหลมมลายู พวกไทยน้อยเป็นบรรพบุรุษของ ชาวไทย (สยาม) ในปัจจุบัน
ชาวไทยที่ยังคงอยู่ในอาณาจักร อ้ายลาว ต้องตกอยู่ในอำนาจของจีน ตลอดมาช้านาน จนสิ้นสมัยสามก๊กเเล้ว จีนผลัดเปลี่ยนเเผ่นดินบ่อยๆ เเละรบพุ่งกันเองเนืองๆ ชาวไทยจึงมีโอกาสรวบรวมกันตั้งบ้านเมืองขึ้น เป็นอิสระ ครั้งนั้นเเยกกันอยู่เป็น ๖ เมืองด้วยกัน คือ ม่งซุ้ย(หมงสุ่ย)   ซีล่าง(ซีหล่ง) ม่งเส(เอี้ยเซ่) ล่างกง(หล่องกุ๊ง) เเละ เท่งเซี้ยง(เถ่งหยิม) 
ราวศตวรรษที่ ๑๒ เเห่งพุทธกาล พระสินุโล เเห่งม่งเส มีอานุภาพ ได้รวบรวมชาวไทย ตั้งบ้านเมืองเป็นอิสระ ทรงทำให้ไทยมีกำลัง เข้มเเข็งขึ้น
พ.ศ. ๑๒๗๒ พระเจ้าพีล่อโก๊ะ เป็นนักรบที่กล้าหาญ ได้รวบรวมเมืองต่างๆ ที่เเยกกันตั้งอยู่เป็นอิสระ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับม่งเสได้สำเร็จ ตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ขึ้น เรียกว่า อาณาจักรน่านเจ้า เเปลว่า เจ้าใต้ นับว่าไทย เป็นปึกเเผ่นมั่งคงยิ่งขึ้น
พ.ศ. ๑๒๙๑ พระเจ้าโก๊ะล่อฝง ตั้งเมือง ตาลีฟู หรือ หนองเเส เป็นราชธานี ของอาณาจักร น่านเจ้า ได้รบกันกับจีนหลายครั้ง เเละได้ชัยชนะ 
อาณาจักรน่านเจ้า มีอาณาเขตกว้างขวาง คือเขตมณฑลยูนนานทั้งหมด รวมเเคว้นสิบสองปันนาด้วย กล่าวคือ ทิศเหนือจดมณเสฉวน ทิศใต้ จดพม่า ญวน ทิศตะวันออกจดดินเเดนไกวเจา กวางสี ตังเกี๋ย ทิศตะวันตก จดพม่า ทิเบต มีกษัตริย์ปกครองต่อมาอีกหลายองค์ เเละมีเรื่องราว เกี่ยว ข้องกับจีนมาก จนกระทั่งถูกกองทัพมงโกลยกมาย่ำยี อาณาจักรน่านเจ้า ถูกทำลายสิ้นในปี พ.ศ. ๑๗๙๗ ชาวไทยน่านเจ้าอพยพหนีภัยลงมาทางใต้ ก็มีมาก เเละที่ตกอยู่ในอำนาจของพวกมงโกลเเห่งคุบไลข่านก็มิใช่น้อย อาณาจักรน่านเจ้าของไทยก็ศูญชื่อตั้งเเต่บัดนั้น

ประวัติของกรุเทพมหานคร


กรุงเทพมหานคร
ประวัติของกรุงเทพมหานคร        กรุงเทพฯ เดิมเรียกชื่อกันว่า “เมืองบางกอก” ครั้นต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงปราบดาภิเษก เป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงเทพฯ ขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ แทนกรุงธนบุรี โดยทรงประกอบพิธี ตั้งเสาหลักเมือง เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๓๒๕ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เมื่อ วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๓๒๕ แล้วพระราชทานนาม พระนครนี้ว่า "กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมาน อวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์" ต่อมารัชกาลที่ ๔ ทรงเปลี่ยนนาม ตรง บวรรัตนโกสินทร์ เป็น อมรรัตนโกสินทร์ ครั้งต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๑๔ รัฐบาล ได้มีประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๔ รวมจังหวัด พระนคร และ ธนบุรี เข้าด้วยกัน เรียกชื่อว่า “นครหลวงกรุงธนบุรี” หลังจากนั้น ได้มีประกาศ คณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๔ วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๑๕ ปรับปรุงการปกครองใหม่ และเรียกชื่อใหม่ เป็น “กรุงเทพมหานคร” แต่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า “กรุงเทพฯ” ซึ่งเป็นเมืองหลวง ของประเทศไทย ที่เป็นศูนย์กลาง ทางด้านการปกครอง การคมนาคมขนส่ง การค้าพาณิชย์ การสื่อสาร ฯลฯ


        กรุงเทพฯ มีเนื้อที่ ๑,๕๖๕.๒ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครอง ออกเป็น ๓๖ เขต ได้แก่ เขตพระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย ปทุมวัน สัมพันธวงศ์ บางรัก ดุสิต บางซื่อ พญาไท ราชเทวี ยานนาวา สาธร บางคอแหลม ห้วยขวาง พระโขนง ประเวศ คลองเตย บางกะปิ บึงกุ่ม ลาดพร้าว บางเขน จตุจักร ดอนเมือง มีนบุรี หนองจอก ลาดกระบัง ธนบุรี คลองสาน บางกอกน้อย บางพลัด บางกอกใหญ่ ตลิ่งชัน บางขุนเทียน จอมทอง ราษฎร์บูรณะ ภาษีเจริญ และหนองแขม

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำอุปมา อุปไมย

คำอุปมาอุปไมย
คำอุปมาอุปไมย หรือคำเปรียบเทียบเป็นคำในภาษาไทยที่สั้น กะทัดรัด และยังนิยมพูดกันในชีวิตประจำวันเป็นคำพูดในเชิงต่อว่าหรือเปรียบเปรย (ทั้งในทางดีทางร้าย) โดยผู้พูดยกเอาสิ่งแวดล้อมมาเทียบเคียงให้ผู้ฟังเห็นจริงไปตามนั้นซึ่งมักจะมีคำว่า เป็น เหมือน อย่าง เท่า ราวกับ ทำหน้าที่เป็นคำเชื่อมหรือคำวลีอยู่ในประโยค
กรอบเหมือนข้าวเกรียบเปราะ , แตกหักง่ายเหมือนข้าวเกรียบ
กลมเป็นลูกมะนาว , กลมเป็นลูกบิลเลียด , กลิ้งเป็นลูกมะนาวหลบหลีกไปได้อย่างคล่องจนจับไม่ติด
กินเหมือนหมู อยู่เหมือนหมากินเละเทะ มูมมาม , กินอยู่ไม่เป็นระเบียบ
กินน้ำตา่ต่างข้าวมีทุกข์โศกตลอดกาล
กินลมกินแล้งทำเหนื่อยเปล่าๆไม่ได้ผลตอบแทน
เกลียดเข้ากระดูกดำเกลียดมากที่สุด
แก้มแดงเป็นลูกตำลึงแก้มแดงเรื่อคล้ายลูกตำลึงสุก
โกรธเป็นฟืนเป็นไฟโกรธมาก
ขมเหมือนบอระเพ็ดมีรสขมเหมือนบอระเพ็ด
ขยันเหมือนมดขยันมาก
ขรุขระเหมือนผิวดวงจันทร์(ผิว) ไม่เรียบ
ขาวราวกับไข่ปอกผิวขาวสวยเหมือนไข่ต้มที่ปอกเปลือกแล้ว
ขาวเป็นวอกขาวมาก
ขาวเหมือนสำลีมีสีอย่างสำลี
ขี้เกียจจนตัวเป็นขนขี้เกียจมาก
แข็งเหมือนหินไม่สะทกสะท้าน , ไม่หวั่นไหว
คนดีเห็นนาน คนพาลเห็นเร็วการจะรู้ว่าคนดีต้องใช้เวลานาน แต่คนชั่วรู้ได้โดยเร็ว
คอทั่งสันหลังเหล็กผู้ที่มีร่างกายกำยำล่ำสันแข็งแรงเกินคนธรรมดา
คอทองแดงดื่มสุราเก่งแล้วไม่เมา
คอเป็นลวด ดอกไม้ไหวกริยาท่าทางของคนที่ยักคอไปมาอย่างรวดเร็ว
คอยาวเหมือนยีราฟคอยื่นยาวเหมือนยีราฟ
คอเป็นเอ็นเถียงชนิดไม่ยอมแพ้และออกเสียงดัง
คอหยักๆ สักแต่ว่าคนเป็นคนเสียเปล่าแต่ไม่มีความคิด
คันเหมือนตำแยคันมาก
คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเลเมื่อเวลาออกทะเลอย่าประมาท เพราะอาจเกิดอันตรายได้ทุกเวลา
ความรู้แค่หางอึ่งมีความรู้น้อยมาก แค่หางอึ่งซึ่งสั้นมาก
คอยเหมือนข้าวคอยฝนรอคอยด้วยความหวัง ไม่รู้ว่าจะสำเร็จเมื่อไร
เค็มเหมือนเกลือขี้เหนียว
งงเป็นไก่ตาแตกไม่เข้าใจอะไรเลย , ไม่รู้จริง
งอนเป็นช้อนหอยงอนมาก คล้ายเปลือกหอยซึ่งงอนทั้งส่วนตัวละท้าย
ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากทำได้ง่ายจริงๆ
เงินคือแก้วสารพัดนึกเงินบันดาลทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามที่ต้องการ
เงียบเป็นเป่าสากเงียบจริงๆ ราวกับเป่าสากซึ่งเป่าเท่าไรก็ไม่มีเสียง
เงียบเหมือนป่าช้าเงียบมาก
โง่เหมือนควายโง่มาก ใครชักจูงไปทางไหนก็ไปเหมือนวัว ควาย
จงดูเยี่ยงกาแต่อย่าเอาอย่างกาดูอย่างกาที่ขยันทำมาหากิน แต่อย่าเอานิสัยขี้ขโมยเป็นแบบอย่าง
จมูกมด ตาแร้งจมูกไว ตาไว
จมูกไวเหมือนมดรู้เรื่องต่างๆได้เร็ว
จืดชืดเป็นน้ำยาเย็นเป็นคนไม่มีชีวิตชีวา , ไม่สนใจ
ใจกว้างราวกับแม่น้ำเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ใจเป็นแม่น้ำคงคาใจคอกว้างขวาง
ใจแข็งเหมือนหินไม่สะทกสะท้าน , ไม่หวั่นไหว
ใจดีราวกับพระมีใจเมตตากรุณา
ใจดีแก้ด้าย ใจร้ายแก้ไหมการใช้คนทำงานต้องให้เหมาะกับนิสัย
ใจดำเหมือนอีกาใจร้าย , เห็นแก่ตัวมาก
ใจเย็นราวกับน้ำทำอะไรเรื่อยเปื่อยไม่รีบร้อน
ใจเสาะเป็นปลาซิวกลัว , ไม่สู้ เหมือนปลาซิวที่พอเอาขึ้นจากน้ำก็ตาย
ชายข้าวเปลือก หญิงข้าวสารผู้ชายอยู่ที่ไหนก็เอาตัวรอดได้ เหมือนข้าวเปลือกงอกได้ แต่ผู้หญิงต้องอาศัยคนอื่นเสมอ
ช้าเป็นการ นานเป็นคุณค่อยทำค่อยไปแน่นอนกว่า
ช้าเหมือนเต่าช้ามาก
ชุมราวกับยุงดาษดื่น , มีมาก
ชั่วเป็นขี้ ดีเป็นแก้วไม่ดีไม่สนใจ สนใจเฉพาะคนที่ดี
ใช้เงินเป็นเบี้ยใช้เงินฟุ่มเฟือย , สุรุ่ยสุร่ายเหมือนเงินไม่มีค่า
ซนเหมือนลิงอยู่เฉยๆไม่เป็น
ซีดเหมือนไก่ต้มขาวจนซีด
ซื่อเหมือนแมวนอนหวดแกล้งทำเป็นซื่อ หงิมๆไม่มีพิษสงอะไร
ดำเป็นตอตะโกดำเหมือนตอไม้ที่ใช้เผาถ่าน
ดำเป็นเหนี่ยงดำเหมือนตัวเหนี่ยง ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีลำตัวสีดำ
ดำเหมือนถ่านดำเหมือนกับสีถ่าน
ดีใจดังได้แก้วดีใจเหมือนได้ของที่ถูกใจ
ดื่นเป็นกล้วยน้ำว้ามีมากมายหาได้ง่าย
ดุราวกับเสือ , ดุเหมือนเสือดุมาก
ดังเป็นข้าวตอกแตกเสียงดัง เหมือนเสียงข้าวตอกปะทุเวลาถูกคั่ว
ดิ้นเหมือนปลาถูกทุบหัวดิ้นเร่าๆ
เดินเบาราวกับแมวเดินไม่มีเสียงเหมือนแมวเดิน
เดินเป็นเป็ดเดินสะโพกย้ายเหมือนท่าเดินของเป็ด
เดินพล่านราวกับเสือติดจั่นเดินวกวนไปมาไม่หยุด
แดงเหมือนชาดแดงเหมือนกับสีของชาด
ตรงเหมือนไม้บรรทัดตรงไปตรงมา
ตาโตเป็นไข่ห่านฟังแล้วสนใจมาก
ตาเป็นสับปะรดหูตากว้างเพราะมีพรรคพวกและบริวารมาก
ติดกันเป็นแพติดต่อๆกันไปไม่เว้นว่าง
ตีนเท่าฝาหอยเท้าเล็กมากเท่าฝาหอย
ตืดเป็นตังเมขี้เหนียว , ตระหนี่มาก
เต้นเหมือนกบ , เต้นเหมือนเจ้าเข้ากระวนกระวายอยู่นิ่งไม่ได้
แต่งตัวมอซอราวกับขอทานแต่งตัวโทรม สกปรก
ถูกโขกสับราวกับทาสถูกด่าว่าตลอดเวลาราวกับเป็นทาส
ทนเหมือนแรดอดทนมาก
ท้องยุ้งพุงกระสอบคนกินจุ
ทำงานตัวเป็นเกลียวขยันมาก
ทำตัวเป็นหัวเรือใหญ่ทำอะไรชอบออกหน้า
ทำตัวเป็นหุ่นให้เขาเชิดปล่อยให้เขาสั่งตามใจชอบ
ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทำเป็นนิ่งเฉย ไม่รู้ร้อน รู้หนาว
ที่เท่าแมวดิ้นตายมีที่ดินน้อย
น่ารักดั่งตุ๊กตาน่ารักมาก
น้ำตาเป็นเต่าเผาน้ำตาไหลพรากราวกับเต่าเวลาถูกเอาไปเผา
บ่นออดเป็นมอดกัดไม้บ่นออดๆ แอดๆ เหมือนมอดกัดไม้ , พร่ำบ่น
บริสุทธิ์เหมือนหยาดน้ำค้างไม่มีมลทิน
บอบบางเหมือนแก้วเจียระไนเปราะบาง , แตกหักง่าย
เบาเหมือนปุยนุ่นเบามาก
ปัญญาแค่หางอึ่งมีสติปัญญาหรือความรู้น้อย , โง่
ปั้นน้ำเป็นตัวโกหกเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นโดยที่ไม่มีมูล
ปากจัดราวกับกรรไกรด่าไม่หยุด
ปากเป็นชักยนต์ว่ากล่าวสั่งสอนไม่รู้จักหยุด
ปากเป็นเอก เลขเป็นโทคำพูดสำคัญที่สุด
ผิดกันราวฟ้ากับดินห่างไกลกันอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้เลย
ผิวขาวราวกับแตงร่มใบผิวขาวนวลสวยมาก
แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทราหาสิ่งที่ต้องการได้แน่ , ไม่ง้อ
ฝนทั่งให้เป็นเข็มเพียรพยายามจนสุดความสามารถจนกว่าจะสำเร็จ
พกหินดีกว่าพกนุ่นเป็นคนใจคอหนักแน่นดีกว่าเป็นคนใจเบา
พอแย้มปากก็เห็นไรฟัน , พออ้าปากก็เห็นลิ้นไก่พอเอ่ยจะพูดก็รู้แล้วว่าจะพูดอะไร , รู้ทันกัน
พูดคล่องเหมือนล่องน้ำพูดไปได้เรื่อยๆไม่มีการติดขัด
พูดเป็นต่อยหอยพูดไม่หยุดปาก
พูดเป็นไฟพูดคล่องมาก
พูดเป็นนกแก้วนกขุนทอง , พูดน้ำไหลไฟดับพูดไม่หยุดปากแต่ไม่รู้ความหมาย
พูดเหมือนมะนาวไม่มีน้ำพูดจาห้วนๆ ไม่มีหางเสียง
แพ้เป็นพระชนะเป็นมารถ้ายอมแพ้เสียแล้วก็สงบ ถ้าชนะต้องมีศัตรูแก้แค้น
มั่นคงดั่งหินผาแน่วแน่ไม่ไหวหวั่น
มีกำลังเหมือนช้างสารแข็งแรงมาก
มีความทุกข์เหมือนตกนรกมีความทุกข์เหมือนอยู่ในนรก
มีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์มีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์
มีทองเท่าหนวดกุ้งมีทรัพย์สินอยู่เล็กน้อย
มีอิสระเหมือนนกมีอิสระมาก
มืดเหมือนเข้าถ้ำคิดอะไรไม่ออก
มือเป็นฝักถั่วยกมือเห็นด้วยโดยพร้อมเพรียง
ไม่เป็นโล้เป็นพายไม่เป็นแก่นสาร
ไม้ใกล้ฝั่งแก่มากแล้ว
ยานเป็นหนังสติ๊กหย่อนยาน
ยุ่งเหมือนยุงตีกันยุ่งเหยิง , สับสน
เย็นราวกับน้ำแข็งใจเย็นมาก
รกเหมือนรังหนูรกรุงรังมาก รกมาก
รักเหมือนแก้วตารักมาก
ร้อนใจเหมือนไฟลนใจไม่เป็นสุข
ร้อนเหมือนไฟใจร้อน
ราบเป็นหน้ากลองราบเรียบไม่มีอะไรมากีดขวาง
รูปหล่อราวกับเทพบุตรหล่อมาก
รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางเอาตัวรอด
รู้อย่างเป็ด , รู้แบบเป็ดรู้นิดๆ หน่อยๆ รู้ไม่จริง
เรียบราวกับแผ่นกระจกราบเรียบไม่มีอะไรมากีดขวาง
เรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้มีกิริยาเรียบร้อย
เร็วราวกับลมพัดเร็วมาก
ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองมีลูกมากมาย
ลื่นเหมือนปลาไหลคล่อง , กระล่อนจนจับไม่ได้
โลเลเหมือนไม้หลักปักขี้เลนเอาแน่นอนอะไรไม่ได้
ว่ายน้ำราวกับปลาว่ายน้ำเก่งมาก
วุ่นเป็นจุลกฐินชุลมุนวุ่นวาย
ไวเหมือนปรอท , ไวเหมือนนกปรอดไวมาก
สกปรกเหมือนหมูสกปรกมาก
สวยราวกับนางฟ้าสวยมาก
สวยสง่าราวกับพญาหงส์ทั้งสวยและสง่าเหมือนหงส์
สั่นเป็นเจ้าเข้ากลัวจนควบคุมตัวไม่ได้
สูงเท่านกเขาเหินสูงมาก
สู้เหมือนหมาจนตรอกสู้ยิบตา
เสียงดังราวกับฟ้าผ่าเสียงดังมาก
เสียงใสเหมือนระฆังเงินเสียงใสมาก
เสียงแหบเหมือนเป็ดเสียงแหบมาก
ใสเหมือนแก้วใสมาก จนเห็นชัดเจนทะลุปรุโปร่ง
หวานเหมือนน้ำตาลเมืองเพชรรสหวานมาก เหมือนรสน้ำตาลเมืองเพชรบุรีที่ถือว่าเป็นน้ำตาลที่หวานที่สุด
หน้าซีดเป็นไก่ต้มหน้าไม่มีสีเลือด
หน้าตาถมึงทึงเหมือนยักษ์หน้าดุ
หน้าเนื้อใจเสือภายนอกดูใจดี แต่ภายในซ่อนความดุร้ายไว้
หน้าบานเป็นจานเชิง , หน้าบานเป็นกระด้งมีความสุขมากจนแสดงออกมาทางใบหน้า
หน้าบานเหี้ยมราวกับมหาโจรหน้าดุ
หยาบเป็นหนังช้างหยาบมาก
หวานเป็นลมขมเป็นยาคำพูดไพเราะอาจเป็นภัย แต่คำพูดไม่ไพเราะอาจเป็นประโยชน์
หัวแหลมเหมือนหัวลิงฉลาดหลักแหลม
เหนียวเหมือนตังเมขี้เหนียว
เหนื่อยราวกับจะขาดใจเหนื่อยมากที่สุด
เหมือนกันราวกับแกะเหมือนมาก
เหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือจะทำยังไงก็ต้องยอม
แห้งแล้งเหมือนทะเลทรายไม่มีน้ำ แล้งมาก
อ้วนเป็นตุ่มอ้วนมาก
อ่อนนุ่มราวกับเส้นไหมนุ่มมาก
อ่อนไหวเหมือนสนต้องลมใจคอไม่หนักแน่น
อาละวาดราวกับหมาบ้าโวยวายหรือเล่นงานไปทั่ว ไม่ฟังเหตุผลใดๆ
 

คำอุทาน

   คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้พูด มักจะเป็นคำที่ไม่มีความหมาย แต่เน้นความรู้สึก
และอารมณ์ของผู้พูด เสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำอุทานนี้ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ
1. เป็นคำ เช่น โอ๊ย ว้าย แหม โถ เป็นต้น
2. เป็นวลี เช่น พุทโธ่เอ๋ย คุณพระช่วย ตายละว้า เป็นต้น
3. เป็นประโยค เช่น ไฟไหมเจ้าข้า ป้าถูกรถชน เป็นต้น
          คำอุทานแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
          1. อุทานบอกอาการ ใช้เปล่งเสียงเพื่อบอกอาการและความรู้สึกต่างๆของผู้พูด เช่น
ร้องเรียก หรือบอกเพื่อให้รู้สึกตัว เช่น แน่น เฮ้ โว้ย เป็นต้น
โกรธเคือง เช่น ชิชะ ดูดู๋ เป็นต้น
ตกใจ เช่น ตายจริง ว้าย เป็นต้น
สงสาร เช่น อนิจจา โถ เป็นต้น
โล่งใจ เช่น เฮ้อ เฮอ เป็นต้น
ขุ่นเคือง เช่น อุวะ แล้วกัน เป็นต้น
ทักท้วง เช่น ฮ้า ไฮ้ เป็นต้น
เยาะเย้ย เช่น หนอย ชะ เป็นต้น
ประหม่า เช่น เอ้อ อ้า เป็นต้น
ชักชวน เช่น นะ น่า เป็นต้น
          2. อุทานเสริมบท คือ คำพูดเสริมขึ้นมาโดยไม่มีความหมาย อาจอยู่หน้าคำ หลังคำหรือแทรกกลางคำ เพื่อเน้นความหมาย ของคำที่จะพูดให้ชัดเจนขึ้น เช่น อาบน้ำอาบท่า ลืมหูลืมตา กินน้ำกินท่า ถ้าเนื้อความมีความหมายในทางเดียวกัน เช่น ไม่ดูไม่แล ร้องรำทำเพลง เราเรียกคำเหล่านี้ว่า คำซ้อน

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติวิทยาศาสตร์

ประวัติ ที่มาของ วันวิทยาศาสตร์ไทย

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชสมภพเมื่อ วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ.๒๓๔๗ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีชวด ฉศกจุลศักราช ๑๑๖๖ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี ณ พระราชวังเดิม พระเจ้ากรุง ธนบุรี เมื่อพระชนมายุย่างเข้า ๙ พรรษา (พ.ศ. ๒๓๕๖) สมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดให้มีพระราชพิธีลงสรงเป็นครั้งแรก ในกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ดำรงพระ ราชเกียรติยศรับพระราชทานพระนามจารึกในพระสุพรรณบัฎว่า "สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์พงศ์อิศวร กษัตริย์วรขัตติยราชกุมาร" ปรากฏตามอเนกนิกรชนสมมติ เรียกพระนามว่า "ทูลกระหม่อมฟ้าพระองค์ใหญ่"
ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ (พระชนมายุได้ ๔๗ พรรษา ทรงผนวชมาได้ ๒๗ พรรษา) พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ได้เข้ากราบถวายบังคมทูลอัญเชิญเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สืบพระราช สันติวงศ์ รัชกาลที่ ๔ โดยมีพระราชปรมาภิไธยโดยย่อว่า "พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรามหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเริ่มสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง พระมหากษัตริย์กับ อาณาประชาราษฎร ให้เข้ากับกาลสมัยในรูปใหม่ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พระองค์ ทรงอยู่ในสมณเพศนานถึง ๒๗ พรรษา ได้เสด็จธุดงค์ไปยังหัวเมืองต่างๆ เป็นโอกาสให้ทรงได้รับรู้สภาพความเป็นอยู่ โดยแท้จริงของ ราษฎรส่วนใหญ่ด้วยพระองค์เอง นับเป็นประสบการณ์ที่มีค่ายิ่ง และเป็นการเตรียมพระองค์เพื่อปกครองบ้านเมืองในอนาคต เป็นอย่างดี ประกอบกับลัทธิจักรวรรดินิยม ที่แผ่ขยายมายังประเทศใกล้เคียงในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และในทวีปเอเซีย ทำให้พระองค์ทรง ตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศสยาม จะต้องยอมรับอิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก และเร่งปรับปรุงประเทศให้ทันสมัย โดยทรงปฏิบัติ พระราชกรณียกิจในหลายๆ ด้านไปพร้อมๆ กันด้วยพระบรมราโชบายที่มีทรรศนะไกล และด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ คือ
๑. ด้านการต่างประเทศ
๒. ด้านการเสริมสร้างความมั่นคง และการป้องกันพระราชอาณาจักร
๓. ด้านการปฏิรูปการปกครอง
๔. ด้านการทำนุบำรุงอาชีพของราษฎร และการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และการคลัง
๕. ด้านบำบัดทุกข์บำรุงสุขของราษฎร
๖. ด้านบำรุงศึกษาศาสตร์
๗. ด้านพระราชพิธี ประเพณี ธรรมเนียม
๘. ด้านพระศาสนา
๙. ด้านการก่อสร้าง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่า การศึกษาสมัยใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นในการปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัย เป็นที่ยอมรับของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ทรงสนับสนุนงานริเริ่มจัดการศึกษาสมัยใหม่ โดยคณะมิชชั่นนารี อย่างดียิ่ง ทรง เป็น "องค์วิชาการ" ทรงใฝ่พระทัยศึกษาด้วยพระองค์เอง ทั้งในด้าน
ผู้ดำเนินรายการ ครับ…..ก็ได้ฟังพระราชประวัติโดยย่อ ของพระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย พี่จิ๋วครับแล้ว วันวิทยาศาสตร์เริ่มต้นอย่างไรครับ
สฤษดิ์พรรณ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ปรัชญาศาสนาต่างๆ ภาษาต่างประเทศ คณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์
ณ วันอังคารที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๑๑ เป็นวันสำคัญที่พระองค์ท่าน, ตลอดจนบรรดาผู้โดยเสด็จ และผู้มาเข้าเฝ้าทั้งไทยและเทศต่างเฝ้ารอ คำพยากรณ์จากการคำนาณทางดาราศาสตร์, ก็ปรากฎว่า เมื่อเวลา ๑๐.๑๖ น. ท้องฟ้าเหนือชายทะเล บ้านหว้ากอ ซึ่งแต่เดิมปกคลุมด้วยเมฆฝนก็พลันกระจ่างมองเห็นดวงอาทิตย์ไรๆ, พอรู้ว่าสุริยุปราคาได้เริ่มขึ้นแล้ว, จนกระทั่งเวลา ๑๑.๓๖ น. กับอีก ๒๐ วินาที ก็จับเต็มดวง, ซึ่งกินเวลาจับเต็มดวง ทั้งสิ้น ๖ นาที กับ ๔๕ วินาที. เล่ากันมาว่า "เวลานั้นมืดเหมือนเวลากลางคืน เวลาพลบค่ำ คนที่นั่งไกล้ๆก็แลดูไม่รู้จักหน้ากัน" ท่ามกลางความมืดจากสุริยุปราคานั้น, พระบารมีขององค์พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยก็เจิดจรัสแจ่มฟ้า พระองค์ทรงสามารถคำนวณการเกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบล หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้อย่างแม่นยำ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งเป็นการพิสูจน์ผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งแรกของชาติไทย จนเป็นที่เลื่องลือในวงการดาราศาสตร์ทั่วโลก ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่น่าภาคภูมิใจยิ่งของประเทศชาติ
เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๕ คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้เทิดทูนพระเกียรติยศแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" องค์ปฐมดำริสร้างไทยก้าวทันโลก และกำหนดให้วันที่ ๑๘ สิงหาคม ของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากนั้นในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเร่งรัดส่งเสริมและสนับสนุนการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพื่อยกย่องสดุดีพระเกียรติยศของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" และเพื่อกระตุ้นสำนึกและเสริมสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในทุกระดับได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่มีผลต่อการพัฒนาฐานะของประเทศให้ดีขึ้น

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๒๗
ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๔ สิงหาคม ๒๕๒๗ โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิด กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จัดกิจกรรมขยายออกไปอย่างกว้างขวางและพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ ความร่วมมือดังกล่าวก่อให้เกิดพลังสำคัญในการกระตุ้นให้ประชาชนและเยาวชนไทยมีความตื่นตัว และเห็นความสำคัญของบทบาทของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีต่อการพัฒนาประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญและประโยชน์ของการจัดงานข้างต้น ดังนั้น เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๘ คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันที่ ๑๘-๒๔ สิงหาคม และอนุมัติให้จัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินการจัดงานตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๙ เป็นต้นมา

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันคริสต์มาส

คริสต์มาส


 
ต้นคริสต์มาส
โหราจารย์เดินทางมาพบพระกุมาร
ซานตาคลอส
คริสต์มาส (อังกฤษ: Christmas, Christ's mass, Xmas Nativity, Yuletide, Noel หรือ Winter Pascha) เป็นเทศกาลประจำปี ซึ่งในศาสนาคริสต์ จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู[1][2] ในหลายประเทศ คริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม ของทุกปี (ในอาร์เมเนีย ตรงกับวันที่ 6 มกราคม และในนิกายออร์โธด็อกซ์บางส่วน ตรงกับวันที่ 7 มกราคม) แต่ก็ไม่เป็นที่เชื่อกันว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระเยซูจริง สำหรับสาเหตุที่เลือกวันดังกล่าวแต่เดิมมีอยู่หลายประเด็น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า วันนี้เป็นเวลาเก้าเดือนพอดีหลังจากนางมารีย์รับการประสูติของพระเยซู[4] ตรงกับเทศกาลบูชาสุริยเทพของโรมันโบราณ หรือไม่ก็ตรงกับเหมายันในซีกโลกเหนือคริสต์มาสเป็นศูนย์กลางของคริสต์มาสและเทศกาลวันหยุด ในศาสนาคริสต์ คริสต์มาสเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นวันหยุดยาว 12 วันถึงแม้ว่าแต่เดิมคริสต์มาสจะเป็นเทศกาลที่เฉลิมฉลองโดยคริสเตียน แต่ผู้ที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์จำนวนมากก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองคริสต์มาสอย่างกว้างขวาง และประเพณีที่ได้รับความนิยมของคริสต์มาสในปัจจุบันมีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ก่อนศาสนาคริสต์หรือมาจากทางโลก ซึ่งรวมไปถึง การให้ของขวัญ เพลงคริสต์มาส การแลกเปลี่ยนการ์ดคริสต์มาส การตกแต่งโบสถ์คริสต์ การรับประทานอาหารมื้อพิเศษ และการตกแต่งอาคารต่าง ๆ ด้วยต้นคริสต์มาส มิสเซิลโท หรือฮอลลี่ เป็นต้น และยังมีตำนานอันเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายเกี่ยวกับซานตาคลอส (หรือ ฟาเธอร์คริสต์มาส) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้ของขวัญแก่เด็ก ๆ ระหว่างเทศกาลคริสต์มาสเนื่องจากการให้ของขวัญและผลกระทบจากเทศกาลคริสต์มาสในอีกหลายแง่มุมได้ทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งในกลุ่มคริสเตียนและผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน วันดังกล่าวจึงกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญและช่วงเวลาสำหัรบสินค้าลดราคาสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของคริสต์มาสเป็นปัจจัยที่ได้เติบโตขึ้นอย่างคงที่ตลอดช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมาในหลายภูมิภาคของโลก

ศัพทมูลวิทยา
คำว่า Christmas ในภาษาอังกฤษ เป็นคำประสมซึ่งหมายถึง "มิสซาของคริสต์" มาจากคำในภาษาอังกฤษยุคกลางว่า Christemasse และภาษาอังกฤษโบราณว่า Cristes mæsse ซึ่งถูกพบครั้งแรกในเอกสารโบราณภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 คำว่า "Cristes" มาจากภาษากรีก Christos และ "mæsse" มาจากภาษาละติน missa (หมายถึง มิสซาอันศักดิ์สิทธิ์) ในภาษากรีกโบราณ ตัวอักษร Χ เป็นตัวอักษรแรกในคำว่า "คริสต์" จากการที่มันมีลักษณะเหมือนกับอักษรโรมัน X จึงได้ถูกใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์" นับตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรษที่ 16 ด้วยเหตุนี้ ในบางครั้ง Xmas จึงใช้เพื่อย่อคำว่า "คริสต์มาส"

 การเฉลิมฉลอง

วันคริสต์มาสได้รับการเฉลิมฉลองเป็นเทศกาลหลักและเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมไปถึงประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสเตียน ในบางประเทศที่มิใช่คริสเตียน คริสต์มาสได้ถูกนำเข้าสู่วัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ระหว่างที่อยู่ภายใต้การปกครองแบบอาณานิคม (เช่น ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อย ๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของชนกลุ่มน้อยคริสเตียนหรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศ ในหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งคริสต์มาสได้รับความนิยมแม้ว่าจะมีประชากรนับถือศาสนาคริสต์เป็นส่วนน้อย ได้รับเอามุมมองทางโลกของคริสต์มาสหลายอย่าง เช่น การให้ของขวัญ การตกแต่งอาคารสถานที่ และต้นคริสต์มาส ประเทศที่ซึ่งคริสต์มาสไม่ใช่วันหยุดราชการ ตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (ยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า) ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกี และเกาหลีเหนือ การเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสรอบโลกอาจมีรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติ
ในกลุ่มประเทศที่มีประเพณีคริสเตียนมั่นคง การเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่มีความหลากหลายได้รับการปรับปรุงกระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นและภูมิภาค สำหรับคริสเตียน การเข้าร่วมในศาสนพิธีถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการยอมรับเทศกาลดังกล่าว คริสต์มาส ตลอดจนเทศกาลอีสเตอร์ เป็นช่วงเวลาที่มีคนเข้าโบสถ์มากที่สุดในแต่ละปี ในประเทศคาทอลิก ประชากรจัดการเดินขบวนทางศาสนาหรือขบวนแห่ก่อนคริสต์มาส ในประเทศอื่น ได้มีการจัดการเดินขบวนทางโลกหรือขบวนแห่ซึ่งนำเสนอซานตาคลอสและสัญลักษณ์ของเทศกาลอื่น ๆ ซึ่งมักจัดขึ้นบ่อยครั้ง การกลับมาพบปะกันของครอบครัวและการแลกของขวัญได้กลายมาเป็นลักษณะเด่นของเทศกาลที่มีอย่างกว้างขวาง การให้ของขวัญเป็นประเพณีที่มีในประเทศส่วนใหญ่ ส่วนวันอื่นที่มีการแลกของขวัญ ได้แก่ วันนักบุญนิโคลัส ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม และการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ตรงกับวันที่ 6 มกราคม

 วันที่จัดเทศกาล

เป็นเวลาหลายศตวรรษ นักเขียนคริสเตียนยอมรับว่าคริสต์มาสเป็นวันประสูติของพระเยซูที่ถูกต้อง จนกระทั่งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิชาการได้เริ่มต้นเสนอคำอธิบายอย่างอื่นแทน ไอแซก นิวตัน ได้แย้งว่า วันที่จัดเทศกาลคริสต์มาสเป็นไปตามเหมายัน ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า บรูมา และจัดงานเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ใน ค.ศ. 1743 คริสตเตียนนิกายโปรแตสแตนท์ชาวเยอรมัน พอล แอร์นสก์ จาบลอนสกี ได้ให้เหตุผลว่า การเลือกวันที่ 25 ธันวาคมเพื่อเฉลิมฉลองคริสต์มาสนั้นตรงกับวันหยุดของโรมัน ดีเอส นาตาลิส โซลิส อินวิกติ และดังนั้นจึงเป็นการทำให้ศาสนจักรที่แท้จริงเสื่อมทรามลง ตามประเพณีจูเดโอ-คริสเตียน เชื่อกันว่าการทรงสร้างดังที่ได้บรรยายในพระธรรมปฐมกาล เกิดขึ้นในวันวสันตวิษุวัต คือ วันที่ 25 มีนาคมในปฏิทินโรมัน วันที่ดังกล่าวปัจจุบันได้เฉลิมฉลองเป็นวันการประกาศของเทพและการครบรอบการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูใน ค.ศ. 1889 หลุยส์ ดือแชน เสนอว่าวันคริสต์มาสสามารถคำนวณได้โดยบวกเวลาเข้าไปเก้าเดือนนับตั้งแต่วันการประกาศของเทพ ซึ่งเป็นวันที่ความเข้าใจดั้งเดิมเกี่ยวกับพระเยซู
 คำอวยพร
คำอวยพรสำหรับเทศกาลคริสมาสใช้ คำอวยพรว่า Merry Christmas สุขสันต์วันคริสต์มาส คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุขและความสงบทางใจ จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุข และความสงบทางใจ เนื่องในโอกาสเทศกาลคริสต์มาส ต่อมาคือ "เพลง" ที่ใช้เฉลิมฉลองทั้งจังหวะช้าและจังหวะสนุกสนาน ส่วนใหญ่แต่งในยุคพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1840-1900) ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆ มากมาย

 ซานตาคลอส

นักบุญ(เซนต์)นิโคลัสแห่งเมืองไมรา นักบุญองค์นี้เป็นสังฆราช ของ ไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่4 ได้รับการยกย่องให้เป็นซานตาคลอสคนแรก เพราะมาวันหนึ่ง เป็นวันคริตส์มาสเซนต์จึงเดินทางแจกของขวัญให้กับเด็กๆอย่างมีความสุข

 ต้นคริสต์มาส

ต้นคริสต์มาสหรือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีสัน การตกแต่งนี้ย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก

 เพลงคริสต์มาส

เพลงคริสต์มาส เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งผู้แต่งมีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เนื้อร้องเป็นภาษาละติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปเพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

 การทำมิสซาเที่ยงคืน

เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 23 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส)ในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระ เยซูเจ้าประสูติ พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พักเป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสด้วย

 เทียนและพวงมาลัย

ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบ เป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุก อาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อน คริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยม และแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งต่อมา มีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรง กลาง 1 เล่มไป แขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่าน ไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็น สัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ ของพระเป็นเจ้า

วันลอยกระทง

วันลอยกระทง

 
วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา มักจะตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที
และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

ประวัติ
พลุเฉลิมฉลองในเทศกาลวันลอยกระทงริมแม่น้ำเจ้าพระยา
เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีปแต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1

 ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

โคมลอยยี่เป็ง
  • ภาคเหนือตอนบน นิยมทำโคมลอย เรียกว่า "ลอยโคม" หรือ "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" ทำจากผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างบัลลูน ประเพณีของชาวเหนือนี้เรียกว่า ยี่เป็ง หมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่(ซึ่งนับวันตามแบบล้านนา ตรงกับวันเพ็ญเดือนสิบสองในแบบไทย)
    • จังหวัดเชียงใหม่ มีประเพณี"ยี่เป็ง"เชียงใหม่ ในทุกๆปีจะมีการจัดงานขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา และมีการปล่อยโคมลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า
    • จังหวัดตาก จะลอยกระทงขนาดเล็กทยอยเรียงรายไปเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
    • จังหวัดสุโขทัย ขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล ไฟพะเนียง
  • ภาคอีสาน ในอดีตมีการเรียกประเพณีลอยกระทงในภาคอีสานว่า สิบสองเพ็ง หมายถึงวันเพ็ญเดือนสิบสองซึ่งจะมีเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป เช่น
  • ภาคกลาง มีการจัดประเพณีลอยกระทงขึ้นทั่วทุกจังหวัด
    • กรุงเทพมหานคร จะมีงานภูเขาทอง เป็นรูปแบบงานวัด เฉลิมฉลองราว 7-10 วัน ก่อนงานลอยกระทง และจบลงในช่วงหลังวันลอยกระทง
    • จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีการจัดงานประเพณีลอยกระทงกรุงเก่าขึ้นอย่างยิ่งใหญ่บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ภายในงานมีการจัดแสดงแสง สี เสียง อย่างงดงามตระการตา
  • ภาคใต้ อย่างที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ก็มีการจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนั้น ในจังหวัดอื่นๆ ก็จะจัดงานวันลอยกระทงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

 ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง

Loi krathong rafts.jpg
  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพระยามารได้